ดร.มนพร ผนึก ทช.เร่งถนน ’นาคาวิถี’ เชื่อมท่องเที่ยวริมแม่น้ำโขง จ.นครพนม

“สุริยะ” ควง “มนพร” ลงพื้นที่ครม.สัญจรนครพนมประชุมร่วมภาครัฐ – เอกชน พร้อมผนึกทช. เร่งโปรเจกต์ถนนเลียบแม่น้ำโขง (นาคาวิถี) ทันเปิดบริการปี 70 ลงทุนกว่า 615 ล้านมุ่งยกระดับภาคคมนาคมและเสริมแกร่งเศรษฐกิจกลุ่มภาคอีสานตอนบน 2 สนับสนุนการท่องเที่ยวตลอดแนวแม่น้ำโขง เพิ่มความสะดวก ปลอดภัยในการใช้เส้นทาง

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่จังหวัดนครพนม ร่วมกับ นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ว่า ด้วยคณะรัฐมนตรีกำหนดจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2568 (ครม.สัญจร) ณ จังหวัดนครพนม พร้อมทั้งได้ลงพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 (สกลนคร นครพนม มุกดาหาร) เพื่อติดตามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมขนส่ง

นายสุริยะกล่าวว่าในวันนี้ได้รับทราบข้อมูลโครงการก่อสร้างถนนเลียบแม่น้ำโขงนาคาวิถี ช่วงสะพานมิตรภาพไทย – ลาว (แห่งที่ 2) – พระธาตุพนมของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ซึ่งเป็นการยกระดับถนนเพื่อการท่องเที่ยวและเส้นทางชุมวิวทิวทัศน์เลียบริมฝั่งแม่น้ำโขง จึงได้มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบท(ทช.) กำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด สามารถเปิดให้บริการในปี 2570 ส่วนกรณีประสบปัญหาในการดำเนินการให้เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนเพื่อสร้างความเข้าใจและร่วมกันแก้ไขปัญหา ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินโครงการ

“ถนนเส้นทางนี้กำหนดแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2570 จัดเป็นเป็นการยกระดับถนนเพื่อการท่องเที่ยวตลอดแนวแม่น้ำโขงที่มีวิวทิวทัศน์สวยงาม สามารถเชื่อมโยงไปยังสปป.ลาวและเชื่อมไปยังจีนให้เกิดความสะดวกสบายและรวดเร็วขึ้น เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองและส่งเสริมการค้าสู่อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่สามารถพัฒนาในทุกมิติ”

นางมนพร เจริญศรี กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นการยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เส้นทางให้เกิดความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัย รูปแบบการขยายเพิ่มช่องทางการจราจรให้สามารถเชื่อมริมแม่น้ำโขงได้ตลอดเส้นทาง สามารถเชื่อมแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่สามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้ประชาชนในแนวเส้นทางได้เพิ่มขึ้น

“เป็นไปตามนโยบายคมนาคมที่กำหนดให้เตรียมแผนรองรับนักท่องเที่ยวในทุกมิติ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐบาล และเป็นไปตามนโยบายกระทรวงคมนาคมที่ว่า “คมนาคม เพื่อโอกาสประเทศไทย” รวมถึงอำนวยความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางสัญจร โดยเพิ่มศักยภาพของโครงข่ายสายทางให้มีความปลอดภัยมากขึ้น ทั้งนี้เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะสามารถสนับสนุนแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในพื้นที่ เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติตามนโยบายของรัฐบาลและของกระทรวงคมนาคมและแผนพัฒนาของกรมทางหลวงชนบท”

ด้านนายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) กล่าวว่า มีแผนพัฒนาติดตามความก้าวหน้าจากนครพนมไปจนถึงมุกดาหาร วัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นเส้นทางอำนวยความสะดวกประชาชน และส่งเสริมการท่องเที่ยวริมแม่น้ำโขงซึ่งเป็นอีกหนึ่งเส้นทางคู่ขนานกับถนนของกรมทางหลวงสาย 212 ที่สามารถสนับสนุนส่งเสริมการใช้เส้นทางร่วมกันได้แล้วยังเชื่อมโยงกันระหว่างสะพานข้ามโขงที่มุกดาหารและนครพนมได้อีกด้วย นอกจากนั้นยังมีแผนพัฒนาเส้นทางเสริมแยกย่อยอีกหลายเส้นทางในระยะต่อไป โดยเฉพาะเส้นทางวงแหวนในเส้นทางดังกล่าวนี้

“เป็นการก่อสร้างและปรับปรุงถนนของทช. สายมห.3003 และนพ.3015 เป็นถนนคอนกรีตผิวจราจรกว้าง 6 เมตรพร้อมระบบระบายน้ำในเขตชุมชนและขยายสะพานในสายทางจำนวน 11 แห่ง มีจุดพักรถและชมทิวทัศน์ โดยอยากส่งเสริมให้สามารถเชื่อมศูนย์เศรษฐกิจชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญให้เกิดขึ้นได้จริง ให้สามารถสร้างงานสร้างรายได้กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน”

ทั้งนี้โครงการก่อสร้างถนนเลียบแม่น้ำโขง (นาคาวิถี) ช่วงสะพานมิตรภาพไทย – ลาว (แห่งที่ 2) – พระธาตุพนม ของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) สายน้ำแห่งความเชื่อ เส้นทางแห่งความศรัทธา “นาคาวิถี” นี้ค่าก่อสร้างถนน 615 ล้านบาท มีจุดเริ่มต้นโครงการอยู่จากช่วงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 ผ่านพื้นที่บริเวณด้านหลังจวนผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ไปสิ้นสุดใกล้วัดพระธาตุพนม ระยะทางประมาณ 43 กม. ลักษณะผิวจราจรกว้าง 6 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2 เมตร ผ่านพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ได้แก่ พระธาตุพนม สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 วัดสองคอน จ.มุกดาหาร แก่งกะเบา หาดมโนภิรมย์ จ.มุกดาหาร หาดแห่ บ้านน้ำก่ำ เป็นต้น

สำหรับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ นั่นคือ เส้นทางมีความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยในการเดินทาง ต่อเติมโครงข่ายการคมนาคมขนส่งให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น สนับสนุนให้เกิดการขยายตัวด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ และเป็นการเพิ่มโอกาสสร้างงาน และสร้างรายได้ให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน