“สุริยะ - มนพร” เจรจาสปป.ลาว หนุนเอกชนไทยรับงานก่อสร้างถนน R12

“สุริยะ – มนพร” ประชุมร่วมภาครัฐ – เอกชนกลุ่มภาคอีสานตอนบน 2 ผนึกกำลังมุ่งยกระดับภาคคมนาคมและเสริมแกร่งเศรษฐกิจ พร้อมติดตามความคืบหน้าโครงการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข 12 (R12) ช่วงเมืองท่าแขก – จุดผ่านแดนนาเพ้า สปป.ลาว (โครงการ R12) ในสปป.ลาวที่ไทยสนับสนุนเงินกว่า 1,833 ล้านบาทไปดำเนินการ ด้านเนด้าเผย 22 พค. ลงนามสัญญาจ้างกลุ่ม AEC เป็นที่ปรึกษาควบคุมงานพร้อมยืนยันเดินหน้าต่อเนื่องคาดกลางปีนี้เข้าพื้นที่ก่อสร้างอย่างเป็นทางการ

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่จังหวัดนครพนม ร่วมกับนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ว่า ด้วยคณะรัฐมนตรีกำหนดจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2568 ณ จังหวัดนครพนม พร้อมทั้งได้ลงพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 (สกลนคร นครพนม มุกดาหาร) เพื่อติดตามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมขนส่ง

ทั้งนี้ได้ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ตอนบน 2 (สกลนคร นครพนม มุกดาหาร) ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และภาคเอกชน เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะต่าง ๆ และแนวทางการดำเนินงานจากทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมในจังหวัดนครพนมและพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีความสมบูรณ์ เชื่อมโยงเส้นทางการค้าระหว่างไทยและ สปป.ลาว

สำหรับโครงการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข 12 (R12) ช่วงเมืองท่าแขก – จุดผ่านแดนนาเพ้า สปป.ลาว (โครงการ R12) ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว แล้วนั้น โดยจากการหารือในวันนี้ได้ขอความร่วมมือให้ สปป.ลาวใช้ผู้รับเหมาไทยและที่ปรึกษาควบคุมงานของไทยเพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่องและรวดเร็ว ซึ่งโครงการดังกล่าวเมื่อเสร็จสิ้นแล้วจะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศอย่างมาก

“แม้ในเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือจะระบุว่าให้เอกชนไทยได้รับงานก่อสร้างแต่สปป.ลาวก็อยากจะดำเนินการเอง คงต้องมีการเจรจาอีกทีว่าจะทำอย่างไร หากเส้นทางนี้แล้วเสร็จจะสามารถขนส่งสินค้าได้มากขึ้น พี่น้องสปป.ลาวจะสามารถใช้เส้นทางให้เกิดประโยชน์ด้านต่างๆทั้งท่องเที่ยวหรือขนส่งสินค้า โดยเส้นทางนี้เชื่อมจากไทยไปยังประเทศเวียดนามได้อีกด้วย แม้ว่าจะมีการจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานแต่ในภาคปฏิบัติกลับมีความล่าช้าดังนั้นหากล่าช้าจะส่งผลกระทบทั้งไทยและสปป.ลาว

รองนายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ได้ขอความร่วมมือกับกระทรวงต่างประเทศในการหารือกับ สปป.ลาว เพื่อหาแนวทางในการสร้างโอกาสให้กับประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะภาคคมนาคมทางอากาศซึ่งจะสนับสนุนให้มีสายการบินราคาประหยัด (Low cost) ร่วมเสริมสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยจะใช้ประโยชน์พื้นที่สนามบินสะหวันนะเขตเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้ง 2 ประเทศต่อไป

“กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เดินหน้าพัฒนาการคมนาคมให้ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อส่งเสริมการเดินทางและการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น และเมื่อโครงการต่าง ๆ แล้วเสร็จจะสร้างประโยชน์สำคัญต่อประชาชนในพื้นที่ ช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในระยะยาว ทั้งการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและการค้า ช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมจากภาคอีสานไปยังประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงสนับสนุนการท่องเที่ยวในจังหวัดนครพนมและพื้นที่ใกล้เคียง และยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน เพิ่มโอกาสการจ้างงานในภาคโลจิสติกส์ การค้าชายแดน และการพัฒนาพื้นที่จังหวัดนครพนม และภาคอีสานอย่างยั่งยืน”

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้การพัฒนาโครงการต่างๆ นั้นล้วนจะเป็นเส้นทางสายเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือนตอนบนที่สามารถเชื่อมโยงไปยัง สปป.ลาว สู่ประเทศเวียดนาม และภาคใต้ของประเทศจีน ที่ไม่เพียงแต่สนองนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ยังส่งเสริมการเป็นประตูการค้าสู่อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่จะช่วยพัฒนาพื้นที่ในทุกมิติ สร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างโอกาส เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน

ด้านนายพีรเมศร์ วุฒิธรเนติรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) กล่าวว่า โครงการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข 12 ช่วงท่าแขก-จุดผ่านแดนนาเพ้าสปป.ลาวในเงื่อนไขระบุชัดเจนว่าจะใช้ผู้รับเหมาไทยเป็นรีดเดอร์ส่วนผู้รับเหมาของสปป.ลาวสามารถเข้ามาร่วมได้รูปแบบจอยเวนเจอร์ โดยมี 2 สัญญา ซึ่งสัญญาที่ 1 บริษัท พรรณีวรกิจก่อสร้างและขนส่ง จำกัด ร่วมกับบริษัท Manyxup Development Construction and Trading Import-Export Sole Co.,LTD (PNT-MDC JV) เป็นผู้ได้รับสัญญา วงเงิน 777,528,583.19 บาท ส่วนสัญญาที่ 2 บริษัท วิวัฒน์ก่อสร้าง จำกัด ร่วมกับบริษัท PA Construction Sole Co.,LTD (WC-PAC JV) เป็นผู้ได้รับสัญญา วงเงิน 889,266,657.70 บาท ในสัดส่วนการร่วมลงทุนระหว่างผู้รับเหมาไทยกับผู้รับเหมาสปป.ลาว ไม่ถึง 50% โดยกรมขัวทางของสปป.ลาวได้จัดเตรียมสัญญาจ้างผู้ประกอบการงานก่อสร้างของทั้ง 2 สัญญาซึ่งมีรายละเอียดประกอบด้วยเงื่อนไขทั่วไป (General Conditions) เงื่อนไขเฉพาะ (Particular Conditions) และภาคผนวกต่อท้ายสัญญาจ้างไว้เรียบร้อยแล้ว

“ยืนยันว่ายังไม่ได้รับแจ้งจากกระทรวงการคลังกรณีภาคเอกชนสปป.ลาวเสนอแก้ไขสัญญาเพื่อให้สปป.ลาวดำเนินการเอง เรื่องนี้ได้มีการลงนามการกู้เงินจากกระทรวงการคลังของไทยไปเรียบร้อยแล้ว ล่าสุดบอร์ดสพพ.ได้อนุมัติให้มีการลงนามสัญญากับกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างคือกลุ่มบริษัท AEC ของไทย พร้อมเจรจาต่อรองราคาได้ที่ 50,880,000 บาทคาดว่าจะมีการลงนามสัญญาราววันที่ 22 พค.นี้และเริ่มงานได้ตั้งแต่วันที่ 23 พค.นี้เป็นต้นไป ส่วนจะเริ่มก่อสร้างคงจะเริ่มช่วงกลางปีนี้”

ทั้งนี้โครงการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข 12 ช่วงท่าแขก-จุดผ่านแดนนาเก้าสปป.ลาว เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2567 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ความช่วยเหลือทางการเงินโครงการ R12 แก่ สปป.ลาววงเงิน 1,833,747 ล้านบาท ประกอบด้วยค่างานก่อสร้าง 1,676 ล้านบาท ค่าที่ปรึกษา 51 ล้านบาท ค่าบริหารจัดการ 20 ล้านบาท ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด 84 ล้านบาท และค่าบริหารจัดการของสพพ. 2.747 ล้านบาท โดยเมื่อ 30 พฤษภาคม 2567 สปป.ลาวได้ลงนามใน FAA กับ สพพ.สำหรับโครงการ R12 โดยเป็นเงินกู้ 1,742,684.00 บาท เงินให้เปล่า 91,063,000 บาท มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.75 ต่อปี ระยะเวลาชำระหนี้ 30 ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ 7 ปี)